การสำรองและกู้คืน Registry เมื่อ Windows เกิดปัญหา
การที่เราสามารถเข้าไปเจาะระบบ Windows โดยผ่านทางโปรแกรม Registry Editor ได้อย่างง่ายดาย บางครั้งก็อาจทำให้เกิดความสียหายต่อ Windows ได้อย่างไม่คาดคิดเช่นกัน ดังนั้นก่อนการเข้าไปเจาะระบบ เราควรทำการสำรอง Registry ไว้เสียก่อนหากมีปัญหาเกิดขึ้นหลังการปรับแต่งค่า เช่น ไม่สามารถบู๊ตเข้า Windows ได้ หรือ Windows เกิดรวน แฮงค์บ่อย หรือระบบไม่เสถียรเหมือนเคย เราก็จะกลับสู่สภาวะปกติดั่งเดิม การสำรอง Registry สำหรับกรณีบู๊ตเข้า Windows ได้


3. คลิกปุ่ม OK
4. จะปรากฎหน้าต่าง Registry Scan Results ให่คลิกปุ่ม Yse

5. เมื่อหน้าต่าง Windows Registry Checker ปรากฎขึ้นให้คลิกปุ่ม OK ก็เป็นอันว่าเราสามารถสำรอง Registry ได้แล้ว การกู้ Registry สำหรับกรณีบู๊ตเข้า Windowsไม่ได้
อันดับแรกคุณต้องมีแผ่น Startup Disk เพื่อใช้ในการบู๊ตเสียก่อน (คลิกดูรายละเอียดที่ นี่)
- บูตเครื่องจาก Driver A: เมื่อบู๊ตเครื่องจนมาถึง A:\> ให้พิมพ์คำสั่ง C: แล้วกดปุ่ม Enter
- เมื่อเปลี่ยนสถานะเป็น C:\> แล้ว ให้พิมพ์คำสั่ง scanreg /restore แล้วกด Enter
- จะปรากฎ Registry สำรองให้เลือกถึง 5 ไฟล์ ให้เลือกเอา Registry ที่ถูกสำรองไว้ครั้งล่าสุด จากนั้น กดปุ่ม Enter
- Restart เครื่องใหม่ Registry ที่เราได้สำรองไว้ก็จะถูกเรียกกลับมาใช้ งานอีกครั้ง ทำให้สามารถบู๊ตเข้าสู่ Windows ได้ตามปกติ
การสำรอง Registry สำหรับกรณีบู๊ตเข้า Windows ได้ วิธีที่ 2
- เปิดโปรแกรม Registry Editor ขึ้นมา แล้วคลิกที่ ไอคอน My Computer เพื่อเลือกสำรองไฟล์ Registry ทุกคีย์

- คลิกเมนู Registry > Export Registry File

- จะปรากฎหน้าต่าง Export Registry File ให้ตั้งชื่อไฟล์ในช่อง File name

- คลิกปุ่ม Save เพียงเท่านี้ก็สามารถสำรองไฟล์ Registry ทุกคีย์ได้แล้ว หมายเหตุ ไฟล์ Registry ที่สำรองไว้จะมีนามสกุล .reg การกู้ Registry สำหรับกรณีบู๊ตเข้า Windows ได้
- เปิดโปรแกรม Registry Editor ขึ้นมา แล้วคลิกที่เมนู Registry > Import Regidtry File

- เมื่อปรากฎหน้าต่าง Import Registry File ให้ดับเบิ้ลคลิกไฟล์ Registry ที่ได้สำรองไว้ เพียงเท่านี้ก็สามารถกู้ Registry ได้แล้ว

รีจิสทรี (Registry ) เป็นฐานข้อมูลส่วนกลางในวินโดวส์ที่ทำหน้าที่เก็บรวบรวมและดูแลรักษาข้อมูล ที่สำคัญของ ระบบไว้ รีจิสทรีจึง เป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจและสำคัญที่สุดของวินโดวส์ โดยรีจิสทรีถือ กำเนิดมาจากแนวความคิดในการจัดเก็บไฟล์ INI ของวินโวส์ 3.1 ซึ่งไฟล์ INI ก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง และ OLE เริ่มมีความซับซ้อน มากขึ้น Microsoft จึงได้สร้างโครงสร้างใหม่ขึ้นมาเพื่อไว้เก็บข้อมูล ที่จำเป็นสำหรับ OLE ในวินโดวส์ 3.1 คือใช้ไฟล์ REG และใช้โปรแกรม Registration Editer ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัจิสทรีได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่
ตอบลบ่ วินโดวส์ 3.1 และได้ถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจุบัน
คีย์หลักทั้ง 6 คีย์
ตอบลบรีจิสทรี ของวินโดวส์ประกอบด้วยคีย์หลัก 6 คีย์ แต่ละคีย์ทำหน้าที่เก็บข้อมูล แตกต่างกันคือ ข้อมูลของผู้ใช้ ข้อมูล ของเครื่อง ชื่อคีย์หลักแต่ละคีย์จะเริ่ม ต้นด้วย HKEY_
และคีย์หลักแต่ละคีย์จะ ประกอบด้วยคีย์ย่อยหลายๆคีย์
1. HKEY_CLASSES_ROOT บรรจุข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ในวินโดวส์สำหรับ OLE รวมถึงรูปแบบไฟล์และคุณสมบัติต่างๆ (ไอคอนที่แสดงในวินโดวส์ และคำสั่งต่างๆ เช่นการเปิดไฟล์ การพิมพ์ )
2. . HKEY_USERS บรรจุข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน ประกอบด้วยข้อกำหนดดีฟอลท์ สำหรับ Desktop, StartMenu, แอพพลิเคชั่นต่างๆ และส่วนประกอบอื่นๆ
เมื่อผู้ใช้ล็อกออ นเข้าระบบข้อกำหนดดีฟอลท์จะถูกขัดลอกไปยังคีย์ย่อยอีกคีย์หนึ่งที่ระบุถึง ผู้ใช้ จากนั้นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆต่อข้อกำหนดเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ในคีย์ย่อย คีย์นี้
3. . HKEY_CURRENT_USERS คือข้อมูลผู้ใช้ที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก HKEY_USERS ระหว่างล็อกออน ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดใน HKEY_CURRENT_USERS
ก็คือข้อมูลอีกชุดหนึ่งของ คีย์ย่อย HKEY_USERS นั่นเอง
4. . HKEY_LOCAL_MACHINE ประกอบด้วยข้อมูลของเครื่อง เช่น ไดร์เวอร์, ฮาร์ดแวร์, พอร์ต และพาลามิเตอร์ของซอฟต์แวร์ ข้อมูลเหล่านี้มีผล
กระทบกับผู้ใช้ทุกคน ที่ล็อกออนเข้าระบบ
5. . HKEY_CURRENT_CONFIG ประกอบด้วยข้อมุลจำพวก Plug & Play และรายละเอียดฮาร์ดแวร์ปัจจุบันของระบบในกรณีที่มีฮาร์ดแวร์หลาย แบบใน
เครื่อง เดียวกัน ข้อมูลในคีย์นี้จะตรงกับข้อมูลในคีย์ HKEY_LOCAL_MACHINE\Config
6. . HKEY_DYN_DATA ประกอบด้วยข้อมูลล่าสุดของอุปกรณ์ต่างๆทำให้สามารถ ใช้ข้อมูลเหล่านี้ตรวจสอบปัญหาด้านฮาร์ดแวร์, สถานะของอุปกรณ์ แต่ละตัว
หรือ เปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ต่างๆ โดย Device Manager ใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อ แสดงรายละเอียดฮาร์ดแวร์ล่าสุด
Registry ของ Windows XP จะมี HKEY_เพียง 5 กลุ่ม คือ
ตอบลบ1. . HKEY_CLASSES_ROOT บรรจุข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ในวินโดวส์สำหรับ OLE รวมถึงรูปแบบไฟล์และคุณสมบัติต่างๆ
(ไอคอนที่แสดงในวินโดวส์ และคำสั่งต่างๆ เช่นการเปิดไฟล์ การพิมพ์ )
2. . HKEY_USERS บรรจุข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน ประกอบด้วยข้อกำหนด ดีฟอลท์ สำหรับ Desktop, StartMenu, แอพพลิเคชั่นต่างๆ และส่วนประกอบ อื่นๆ
เมื่อผู้ใช้ล็อกออนเข้าระบบข้อกำหนดดีฟอลท์จะถูก ขัดลอกไปยังคีย์ย่อย อีกคีย์หนึ่งที่ระบุถึงผู้ใช้ จากนั้นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆต่อข้อกำหนดเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ในคีย์ย่อย คีย์นี้
3. . HKEY_CURRENT_USERS คือข้อมูลผู้ใช้ที่ถูกสร้างขึ้นมาจาก HKEY_USERS ระหว่างล็อกออน ดังนั้นข้อมูลทั้งหมดใน HKEY_CURRENT_USERS
ก็คือข้อมูลอีกชุดหนึ่งของ คีย์ย่อย HKEY_USERS นั่นเอง
4. . HKEY_LOCAL_MACHINE ประกอบด้วยข้อมูลของเครื่อง เช่น ไดร์เวอร์, ฮาร์ดแวร์, พอร์ต และพาลามิเตอร์ของซอฟต์แวร์ ข้อมูลเหล่านี้มีผล กระทบกับผู้ใช้ทุกคน ที่ล็อกออนเข้าระบบ
5. . HKEY_CURRENT_CONFIG ประกอบด้วยข้อมุลจำพวก Plug & Play และรายละเอียดฮาร์ดแวร์ปัจจุบันของระบบในกรณีที่มีฮาร์ดแวร์หลาย แบบในเครื่องเดียวกัน ข้อมูลในคีย์นี้จะตรงกับข้อมูลในคีย์ HKEY_LOCAL_MACHINE\Config
การใช้ Registry Editor
ตอบลบRegistry Editor คือเครื่องมือที่ใช้แสดงผลและแก้ไขข้อมูลรีจิสทรี โดยหลังจากติดตั้งวินโดวส์แล้วเราจะไม่พบ Registry Editor ในสตาร์ท เมนู แต่โปรแกรม setup จะก็อปไฟล์REGEDIT.EXE ไว้ในโฟลเดอร์วินโดวส์ ที่เป็นเช่นนี้เพื่อป้องกันผู้ใช้มือใหม่ที่ยังไม่มีความชำนาญเพียงพอ เข้าไปแก้ไขรีจิสทรีซึ่งอาจทำให้ระบบเสียหาย การเรียกใช้ Registry Editor ได้โดยไปที่เมนู RUN แล้วพิมพ์ regedit แล้วกด OK
การแก้ไขค่าใน Registry Editor
ตอบลบเมื่อ ต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ เราต้องเลือกคีย์ที่ต้องการเพื่อแสดงค่าของคีย์นั้นในช่องทางขวาแล้วเริ่ม แก้ไขโดยวิธีใดวิธีหนิ่งดังต่อไปนี้ ดับเบิลคลิกที่ชื่อข้อมูลคลิกที่ชื่อข้อมูล และใช้คำสั่ง Modify ในเมนู Edit คลิกขวาที่ชื่อข้อมูลแล้วเลือกคำสั่ง Modifyจากนั้น Rgistry Editor จะเปิดไดอะล็อคบ็อกซ์ที่แสดงชื่อและค่าของข้อมูล ข้อมูลที่ปรากฎ จะขึ้นอยู่กับแบบข้อมุลที่กำลังแก้ไขอยู่
การแก้ไขค่า String
ตอบลบเมื่อเรา ต้องการเปลี่ยนค่าใหม่ให้พิมพ์เข้าไปที่ช่อง Value data แล้วคลิก OK ค่าใหม่จะถูกเก็บเข้าไปในรีจิสทรีทันที แม้ว่าเราจะเห็นข้อความในคีย์ แสดงอยู่ใน เครื่องหมายคำพูด แต่เวลาระบุข้อมูลใหม่เข้าไปไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องหมายคำพูดนี้ เพราะเครื่องหมายนี้ Registry Editor ใช้เพื่อแสดงว่าเป็นข้อมูลแบบข้อความ
การแก้ไขค่า Brinary
ตอบลบRegistry Editor จะเปิด Edit Binary Value ดังแสดงในรูป ช่อง Value data แสดงข้อมูลในรูปเลขฐานสิบหก โดยเลขสี่ตัวแรกทางด้านขวาระบุถึง ตำแหน่งข้อมูล และถัดมาเป็นตัวข้อมูล ซึ่งแสดงเป็นชุดข้อมูลแบบไบท์ (เลขฐานสิบหก) เมื่อต้องการแก้ไขข้อมูลที่มีอยู่ให้เลื่อกข้อมูลที่ต้อง การแล้วระบุค่าใหม่ลงไปจากนั้นคลิก OK
การแก้ไขค่า DWORD
ตอบลบเมื่อเราเลือกแก้ไขค่า DWORD โปรแกรม Registry Editor จะเปิด Edit DWORD Value ดังในรูป จากนั้น เราสามารถปรับเลี่ยนค่าหรือ ระบุค่าเป็นเลขฐานสิบหกหรือฐานสิบ
ตามออปชั่น Base คือ เลือก Hexadecimal เพื่อระบุค่าเลขฐานสิบหก เลือก Decimal เพื่อระบุค่าเลขฐานสิบ เสร็จเรียบร้อย คลิก OK
การเพิ่มคีย์ใหม่ใน Registry Editor
ตอบลบถ้าหากต้องการเพิ่มค่าใหม่เข้าไปจะต้องระบุชื่อข้อมูล และค่าของมันด้วย เมื่อต้องการแทรกข้อมูลใหม่เข้าไปใน รีจิสทรีทำดังต่อไปนี้ คลิกขวาที่คีย์ที่ต้องการ หรือคลิกขวาในช่องด้านขวาเพื่อแสดงเมนู เลือก NEW แล้วเลือกคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งต่อไปนี้ Key, String Value, Binary Value หรือ DWORD Valueถ้าเลือกคำสั่ง Key โปรแกรม Registry Editor จะเพิ่มคีย์ย่อยชื่อ New Key ในช่องด้านซ้าย แต่ถ้าเลือก Key, String Value, Binary Value หรือ DWORD Value จะสร้างข้อมูลใหม่ชื่อ New Value ในช่องด้านขวา จากนั้นให้เปลี่ยนชื่อ
ตามต้องการ
การลบข้อมูลใน Registry Editor
ตอบลบเราสามารถใช้ Registry Editor เพื่อลบคีย์ และค่าต่างๆ ได้เมื่อต้องการลบทำดังต่อไปนี้ลบทั้งคีย์ ให้คลิกขวาที่คีย์ในช่องด้าน ซ้าย แล้วเลือก Delete ลบค่าต่างๆที่อยู่ในคีย์ ให้คลิกขวาที่ค่านั้นๆใน ช่องด้านขวา แล้วเลือก Deleteข้อควรระวังคือ ใน Registry Editor ไม่มีฟังก์ชั่น Undo เราจึงไม่สามารถเรียกคืนข้อมูล กลับมาได้ ถ้าหากเผลอลบข้อมูลออกไป